บทสัมภาษณ์คราวนี้ไม่อยากจะเกริ่นอะไรมาก... เนื่องจาก Songburi ได้ติดบทสัมภาษณ์ของ 5 หนุ่ม ‘เย่, เป้, บู้, เอม และแบงค์’ วง Slur กับแฟนๆ Songburi ของเรานานเอาการอยู่ ฉะนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปอัพเดตเรื่องราวของพวกเขากันเลย (อาจจะยาวสักนิด แต่รับรองแฟนๆ Slur ได้หายคิดถึงแน่นอน)

Molekul: สวัสดีค่ะ Slur ยังไงช่วยทักทายกับชาว Songburi กันหน่อยค่ะ
Slur : สวัสดีครับชาว Songburi พวกเรา Slur ครับ...ผมแบงค์ ทรัมเป็ตครับ, เอม ตีกลองครับ, บู้ เล่นเบสครับ, เป้ เล่นกีต้าร์ครับ, เย่ ร้องนำครับ

Molekul: ตอนนี้ Slur กำลังทำอะไรอยู่
Slur : เป็นข่าวดีที่เราจะอัพเดตกันในรอบปีนี้ นั่นก็คือ ตอนนี้ Slur มีโครงการกำลังจะทำอัลบั้มชุด 2 นะครับ หลังจากที่เราไตร่ตรองใคร่ครวญกันอยู่นาน ว่าเราควรจะเริ่มทำอัลบั้ม 2 กันได้แล้ว ซึ่งน่าจะได้ฟังกันปีหน้า ไม่เกิน 31 ธันวาคม ปี 2008 แน่นอนครับ แต่ถามจะถามว่าเสร็จไปกี่เปอร์เซ็นต์ ตอบได้ว่า 1 % ครับ คือแค่จะเริ่มทำ ซึ่งแค่นี้พวกเราก็ถือว่าประสบความสำเร็จกันมากแล้ว

Molekul: แรงบันดาลใจที่จะทำอัลบั้มชุดใหม่ที่ว่ามาจากไหน
Slur : อาจจะด้วยพวกเราเริ่มว่างตรงกัน แล้วอีกอย่างเราเริ่มรู้สึกว่าเราเริ่มที่จะมีประเด็น เป็น Slur ก้อนใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้นมา ซึ่งมันยังคลุมเครือ ยังไม่สามารถพูดออกมาได้ว่ามันคืออะไร แต่แรงบันดาลใจที่สำคัญ อย่างหนึ่งนั่นก็คือ การที่พวกเราอยากจะทำอัลบั้มชุดที่ 2 เรารู้สึกว่าเราเป็นแรงบันดาลใจของตัวเราเอง มันตื่นเต้น เหมือนกับตอนที่จะได้ทำอัลบั้มชุดแรก

Molekul: ที่บอกว่าเพิ่งจะเริ่มว่างตรงกัน แต่ละคนนอกจากจะทำงานเพลงกันแล้ว ทำอะไรอีกบ้าง
Slur : แบงก์เรียนอยู่ปี 2 นิเทศศาสตร์ ม.ราชภัฏสวนดุสิตครับ, เอมจบแล้วตอนนี้เป็นวิศวกรอยู่ครับ, ผม (บู้) เรียนอยู่จุฬาฯ ปี 4 ครับ คณะศิลปกรรมศาสตร์, ผม (เป้) เรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจ ม.มหิดล ใกล้จะจบแล้วครับ, ผม (เย่) จบแล้วครับ ตอนนี้ทำงานเกียวกับด้านออกแบบภายใน เป็นพนักงานออฟฟิศ กินเงินเดือนอยู่ครับ

Molekul: แล้วจัดเวลากันอย่างไร
Slur : ก็ตามความเหมาะสมครับ ดูเป็นงานๆ ไปนะครับ (ได้ข่าวว่าแต่ละคน เพิ่งเลิกงานมาก็ตรงมาให้สัมภาษณ์เลยด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ) ส่วนผม (บู้) ก็มีโดดเรียนบ้างนะ แต่ก็อย่างที่ว่าก็ต้องดูที่ความเหมาะสมด้วย ซึ่งผมจะไม่ให้เสียการเรียนแน่นอน

Molekul: แล้วคนที่ทำงานแล้วล่ะ ความรู้สึกระหว่างการเป็นพนักงานบริษัทกับเป็นศิลปินมันต่างกันไหม
Slur : ก็มีต่างกันนะ อย่างดนตรีเราไม่จำเป็นต้องเล่นทุกวันไง แต่งานเราต้องทำทุกวัน แต่ถ้าสมมติเราต้องออกทัวร์เล่นดนตรี 30 วัน เหมือนกันเด๊ะ ก็คงมีเบื่อบ้าง แต่พวกผมไม่ได้เบื่อที่จะต้องเล่นนะ แต่คงจะเบื่อบรรยากาศมากกว่า แต่จะว่าไปแล้วมันก็มีส่วนที่เหมือนกันในแง่ที่ว่า มันทำให้วันๆ หนึ่งผ่านไป

Molekul: ย้อนมาที่การรวมตัวของ Slur   
Slur : เริ่มที่ผม (เอม) กับเย่ เราเจอกันที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง คือวันนั้นเขาจัดงานปีใหม่ น่าจะเป็นช่วงที่ผมอยู่ประมาณปี 1 พอรู้จักกัน ก็เลยปิ๊งกัน แล้วก็เลยควงแขนกันไปทำอัลบั้มแรก ชื่อ The Save Par (คือผมเห็นว่าช่วงนั้นเรามีกาแฟเบอร์ดี้ มี The eagle แล้ว แต่ยังไม่มี Save par ไง นี่ก็เลยเป็นที่มาของอัลบั้มนี้) เสร็จแล้วเราก็ทำไปขายงานแฟต (ครั้งที่ 3 ที่สวนสยาม) 50 แผ่น ขายเกลี้ยง โดยคนที่ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นคนที่รู้จักกันทั้งหมดครับ แทบจะไม่มีใครแปลกหน้ามาซื้อเลย อ้อ! แต่เห็นจะมีคนหนึ่ง (พี่ต้อม ยุทธเลิศ) ที่โดนพวกเราบังคับให้พี่เขาฟัง แล้วก็บังคับซื้อ... ว่าพี่ซื้อเถอะครับแค่ 50 บาทเอง พี่เขาก็ยอมควักตังค์จ่ายมา แต่พอตอนนี้พวกผมไป ถามเขา เขาก็บอกว่าจำไม่ได้แล้ว (หัวเราะ)

Molekul:  แล้วคนที่เหลือ (แบงค์, เป้, บู้) ไปรู้จักกันได้อย่างไง
Slur : ก็จากงานแฟตครั้งนั้นแหละครับ ทำให้พวกผมได้เจอกับแบงค์พร้อมกับมือเบสคนเก่า ซึ่งเราก็อืม...แบงค์เล่นทรัมเป็ตได้ด้วย (หลังจากนี้จะให้เป้เล่าต่อ เพราะเป้จะเข้ามาอยู่ในวงครับ) (เป้) จากนั้นพวกเขาก็ไปทำเพลงกันที่บ้านพี่กิจ มือเบสคนเก่า ซึ่งตอนนั้นเย่เขาก็อยากได้มือกีต้าร์อีกคน เย่ก็เลยนัดเพื่อนผมซึ่งเป็นเพื่อนเย่ด้วย ไปเล่นดนตรีที่ห้องซ้อม ปรากฏเย่เขาเจอผม ซึ่งวันนั้นผมเล่นได้ห่วยมาก เพราะไม่ได้แกะเพลงไปไง แต่เย่เขาก็เข้ามาบอกว่า เฮ้ย!! ผมยาวดีนี่ ไปเล่นกีต้าร์ด้วยกันไหม นั่นแหละครับเป็นที่มาของผม (เอม) แล้วหลังจากที่เป้เข้ามาคุณกิจ มือเบสคนเก่าของเรา ก็ได้ออกจากวงไปทำภาระกิจส่วนตัว ทำให้เราต้องมีการออดิชั่นหามือเบสคนใหม่ โดยการแปะโปสตอร์ ประกาศในเว็บ ซึ่งก็ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม เพราะมีคนมาออดิชั่นทั้งหมด 3 คน โดยบู้เป็นคนที่ 3 ที่เดินเข้ามาในห้องซ้อม ซึ่งแบบพอบู้เดินเข้ามาปุ๊บ เราก็คิดว่าถึงมันจะเล่นเบสไม่เป็น เราก็จะเอามันมาเป็นมือเบสให้เรา

Molekul: สรุปแล้วสมาชิกวง Slur คัดเลือกกันอย่างไง เพราะถูกชะตาเหรอ
Slur :ครับแค่นั้น คือ มันไม่มีเหตุผลเลย พวกเราไม่สามารถบอกได้เลยว่า พวกเรามาจากโรงเรียนเดียวกัน หรือมาจากคณะเดียวกัน หรือเคยประกวดมาด้วยกัน แบบนี้คือจะไม่มีเลย มันเหมือนดวงที่ทำให้คนที่ฟังเพลงเหมือนๆ กันได้มาเจอกัน

Molekul: ฟังเพลงเหมือนกัน นี่ฟังอะไรกัน
Slur : น่าจะเป็นแนวใกล้ๆ กัน ประมาณ Rock ’n’ Roll ยุคปี 2000 ในยุคที่มันกลับมาบูมอีกครั้ง เรียกว่า Garage Rock Revolver คือ เป็น Garage ที่เคยดังอยู่ในยุคปี 60 แล้วถูกปลุกกระแสให้กลับมาดังใหม่ ซึ่งในประเทศไทยนี่ก็จะดังอยู่ในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกเราที่เคยฟังเพลงประเภทนี้มาก่อน พอได้กลับมาฟังอีก ก็คิดว่ามันเท่ มันเจ๋ง ก็เลยอยากทำแบบนี้ขึ้นมา

Molekul: ชอบอะไรใน Rock ’n’ Roll กัน
Slur : เราจะชอบวิธีการเรียบเรียง แล้วก็วิธีการใช้คอร์ดน้อยๆ ซึ่งเหมือนกับการที่เราทำเพลงๆ หนึ่ง มันไม่จำเป็นที่จะต้องหรูหรา หรือว่าเพลงนั้นจะต้องเล่นให้ยากนะ อะไรแบบนี้ เราแค่แต่งเพลงให้เนื้อหามันออกมาเร็วๆ ใช้คอร์ดเท่าที่จำเป็น แล้วก็ใส่อารมณ์เข้าไปในเพลง มันก็เป็นเพลงที่ดีได้ ซึ่งคนจะรู้สึกได้ว่าเพลงมันดีแล้วก็สดในเวลาเดียวกัน

Molekul: อะไรเกิดขึ้นก่อนล่ะ ระหว่างทำนองดนตรี คำร้อง
Slur : ของเราไม่มีกฏตายตัว บางทีก็ได้เนื้อก่อน บางทีก็เป็นทำนอง ส่วนมากมันมาจากความรู้สึกมากกว่า แบบเล่นแล้วใช่เลย ซึ่งเย่ก็แต่งเพลงออกมาเยอะมากด้วย ทำให้เรามีเดโมเยอะ หลายอันมาก ซึ่งอัลบั้มชุดที่แล้วเราก็พยายามเลือกเพลงที่คิดว่าเป็นเพลงที่ฟังแล้วดูเป็นโทนเดียวกัน มารวมเป็นอัลบั้มขึ้นมา

Molekul: โทนของอัลบั้ม ‘บู้’ คือ
Slur : จะมัน จะสนุก อย่างเดียวเลย เหมือนเด็กเพิ่งเดินเป็น คือจะเดินทั้งวัน พอวิ่งเป็นก็จะวิ่งอย่างเดียว ซึ่งเราคิดว่าถ้าเราเล่นอะไรที่มันยากมากๆ เกิดไปเล่นบนเวทีแล้วมันไม่ได้ ก็ไม่เอา เอาแบบเล่นง่ายๆ แล้วได้ทักทายกับคนดู ได้เต้น ได้เท่ ดีกว่าที่จะเล่นอะไรที่ยากๆ... คือเหมือนกับคนอยากแต่งตัวมากกว่าอยากออกเทปนะครับ

Molekul:  แล้วมาอยู่ Smallroom กันได้อย่างไร
Slur :ก็ตอนนั้นพอเรารวมตัวกันครบ ก็ได้ไปเล่นคอนเสิร์ต Live in a day เสร็จแล้วเราก็ทำเดโมขึ้นมา 8 เพลง มาเสนอทางค่าย Smalroom ซึ่งพวกเขาก็พอจะรู้จักพวกเรามาบ้างจาก คอนเสิร์ต Live in a day เขาก็เลยเอาเพลงพวกเราไปฟัง ซึ่งตอนนั้นก็โดน Comment เยอะแยะ เป็นชั่วโมงเลย ว่าตรงนี้ไม่ดี ตรงโน้นไม่ดี แล้วอีกทีหนึ่ง คือ เราไปเล่นให้เขาดู เขาก็โอเค จะให้เวลาเราในการพัฒนาตัวเอง โดยจะเป็นการ Develop ร่วมกันกับเขา 1 ปี ก่อน จนมาได้ออกอัลบั้ม เป็น Slur อย่างที่เห็นครับ

Molekul: จะว่าไป Slur ก็ทัวร์คอนเสิร์ตกันมาหลายที่ มีอะไรที่ประทับใจในตัวแฟนคลับอยากเล่าให้เราฟังไหม
Slur :แฟนๆ ของเราน่ารักครับ ส่วนใหญ่จะเป็นคอเพลงวงร็อค ที่พวกเขาก็เข้าใจพวกเรานะว่า พวกเราไม่สามารถจะไป Treat อะไรเขาได้มากมายเหมือนกับศิลปินที่มาทางสายอบอุ่นอะไรแบบเนี้ยครับ เราก็แบบไปทำซ่าอะไรของเราไปตามเรื่อง ซึ่งเขาก็เข้าใจพวกเราครับ ก็จะมีอย่างที่โคราช เราไปเล่นเป็นคอนเสิร์ตที่มันมากครับ ซึ่งคนที่ชอบเราเขาก็จะเอานู้นเอานี่มาให้เซ็นต์ แต่ CD ของเรา มีมาให้เซ็น 2 แผ่นเอง ซึ่งเราก็อืม...ก็โอเคนะ เขาฟังเพลงเรามันก็ดีแล้ว ถึงจะชื้อหรือไม่ซื้อ CD ของเราก็ตาม แต่เขาก็ยังร้องตามกันได้ทุกเพลง พวกผมก็ประทับใจมากครับ
เอม : ของผมนี่ จะชอบเจอแฟนเพลงมาขอไม้กลองเวลาไปเล่นคอนเสิร์ต ซึ่งผมก็อยากบอกแฟนเพลงทุกคนว่า อย่าขอไม้กลองกันเยอะ เพราะผมจะไม่มีใช้แล้วครับ
บู้ : ผมก็โดนบ่อย แบบแฟนเพลงถามว่า วันนี้ไม่เอากางเกงเหลืองมาด้วยเหรอ แบบว่าจะขอซื้อต่อ หรือ รองเท้าพี่สวยมากเลยขอได้ไหม คือ ถ้าแบบผมให้ไปแล้วผมจะเอาอะไรใส่กลับล่ะ ก็มีแปลกๆ อะไรแบบนี้ ซึ่งต่อไปผมคิดว่า คราวหลังเวลาผมไปออกคอนเสิร์ตผมจะแปะป้ายราคาทั้งตัวเลย (หัวเราะ)

Molekul: ใน 5 คนนี้ใครที่สาวกรี๊ดที่สุด
Slur : น่าจะเป็นบู้นะครับ แต่ความจริงแล้วก็วัดกันไม่ได้นะ เพราะตอนแรกจะเป็นเป้กับบู้มาคู่กัน แต่ตอนนี้แบงค์กำลังมาครับ คือแบบตอนนี้แบงค์หน้าใสมาก เลยกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เป้กับบู้เลยเริ่มหล่น ส่วนเย่นี่ไม่ค่อยจะมีครับ แบบไม่ค่อยจะมีใครสนใจเขาเท่าไหร่ (หัวเราะ) เพราะเขาจะไม่ค่อยชอบถ่ายรูปครับ จะเดินหนีตลอด

Molekul: แล้วเวลา Slur รวมตัวกันมักจะคุยเรื่องอะไร
Slur :
จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เราไปทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา นานมากแล้ว น่าจะปี 2004 นะครับ (จริงเหรอ) อันนี้ไม่นับรวมเวลาซ้อมนะ เพราะส่วนมากพอซ้อมเสร็จเราก็จะต่างคนต่างกินมากกว่า (หัวเราะ) ส่วนเรื่องที่เราคุยกันส่วนใหญ่นอกจะเรื่องซ้อมแล้ว ก็จะคุยกันได้เรื่อยๆ เลย อย่าง เรื่องรองเท้า เรื่องแว่น หรือบางทีก็มีจับกลุ่มนั่งนินทาผู้หญิง อย่างที่ผู้หญิงเขาชอบนินทาผู้ชายกันนะครับ (หัวเราะ) เรื่องแฟชั่นเราก็คุยกันเยอะ หรือว่าดนตรีของวงนั้นฟังหรือยัง หรืออย่างมีงานคอนเสิร์ต หรือมีงานปาร์ตี้เราก็มีไปด้วยกันบ่อย เหมือนแบบไปให้กำลังใจวงเพื่อนๆ นะครับ

Molekul: การแต่งกายของ Slur ล่ะ ตั้งใจจะให้ออกมาเป็นแบบนี้ ต้องใส่ขาเดฟอะไรอย่างนี้หรือเปล่า
Slur : มั่วครับ ส่วนตัวเลยของใครของมัน ก็เคยมีตกลงกันเหมือนกันว่า เออ วันนี้นัดใส่สีดำกันนะ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครใส่สีดำมากันเลย ก็ไม่รู้ว่าจะตกลงกันไปทำไม คือประมาณว่าทุกคนอยากแตกต่าง กลัวเหมือน (หัวเราะ) ส่วนกางเกงนี่พวกเราไม่ได้ใส่กันครับ จริงๆ  เราเพ้นต์ขากัน (หัวเราะ)  คือจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้ใส่ขาเดฟกันทุกคนนะ อย่างเย่เขาก็ใส่ขากระบอก ซึ่งจริงๆ การแต่งกายของพวกเรามันก็อาจจะมาจากการที่พวกเราดูวงเมืองนอกมาก ก็เลยไปรับอิทธิพลจากเขามากันครับ

Molekul: ในความคิดของ Slur อยากให้แฟนๆ คิดถึงตัวเองด้านไหน
Slur : มันๆ สนุกสนาน กักขฬะ หยาบคาย กระด้าง อะไรเงี้ย แต่จริงๆ แล้ว Slur เป็นคนโรแมนติก แอบกุ๊กกิ๊ก หงอกับแฟน

Molekul: อนาคตต่อไปของวงจะเป็นอย่างไง ได้ข่าวว่าจะโกอินเตอร์กันด้วย
Slur :ก็คงจะอยู่กันไป จนกระทั่งไม่มีใครเอาเราแล้ว หรือจนกว่าพวกเราจะหมดแรงทำกัน ซึ่งอนาคตของเราน่าจะมีชุดที่ 2 ครับ ส่วนเรื่องโกอินเตอร์นี่ เราไม่ได้โกอินเตอร์แบบทาทา หรืออะไรนะ แต่เราโกอินเตอร์แบบอินดี้ๆ กับค่าย Noisedeluxe records ซึ่งคล้ายๆ กับเป็น Smallroom ของเยอรมันอะไรเงี้ย ซึ่งเขา เหมือนกับ Release อัลบั้มให้เรา แล้วเราก็ไปโชว์โปรโมตอัลบั้ม ซึ่งเราจะได้ไปเล่น 14 วัน ก็จะไปทัวร์ทั่วเยอรมัน แล้วก็อาจจะไปทัวร์ยุโรป อย่างออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ ด้วย

Molekul: จะไปกันเมื่อไหร่ แล้วเตรียมตัวอะไรกันบ้าง
Slur :ไปเดือนมกราปีหน้าครับ การเตรียมตัวของเราคือ ‘รอ’ ครับ ส่วนเย่เขาก็คงจะต้องท่องเนื้อภาษาอังกฤษให้ได้ แล้วก็ฝึกภาษาเยอรมันครับ

Molekul: สุดท้ายฝากอะไรถึงแฟนๆ โหวตให้  Songburi มาสัมภาษณ์ Slur กันหน่อย
Slur : ก็อยากขอบคุณจากใจจริงครับ ซึ่งผลโหวตที่ได้คงเป็นเพราะแฟนๆ ของพวกเราเขาเล่น Net กันเยอะด้วยมั้งครับ (บู้) ผมอยากจะฝากบอกว่า “ถ้าไม่มีพวกคุณ ก็ไม่มีพวกผมในวันนี้” ครับ (เอม) มีรูปผมรูปหนึ่งใน Songburi หล่อมาก อย่าลืมดาวน์โหลดมาเก็บไว้นะครับ (เป้) อยากฝากบอกว่า Hi5 ของเป้ เป้เลิกเล่นไปแล้ว ไม่ต้องแอดแล้วนะครับ แต่ถ้าอยากติดตามพวกเราวง Slur ก็ติดตามกันได้ที่ myspace.com/slurslurslur แล้วกันครับ

 

 

บทสัมภาษณ์